เทคนิคการเรียน


เคล็ดลับแบบไม่รับทำให้เรียนเก่ง



ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง นักเรียนคงเคยได้ยินสโลแกนนี้มาบ้างนะครับ มีการนำมาทำโฆษณาทางทีวีด้วย คำพูดประโยคนี้ฟังแล้วดูดี เป็นยาชูกำลังอย่างหนึ่ง สำหรับคนที่มีความฝัน อยากมีชีวิตหน้าที่การงานที่ดีในวันข้างหน้า มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย มีเกียรติเป็นที่ยอมรับของสังคม การเรียนในระดับชั้น ม. ปลาย เพื่อสอบเข้าต่อในระดับอุดมศึกษา หรือมหาวิทยาลัย จะเป็นก้าวย่างสำคัญของการกำหนดอาชีพของนักเรียนเองในอนาคต หลายคนที่มีความฝัน อยากเป็น มีเป้าหมายที่ชัดเจน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้เป็นหลักยึดของการเรียน ความมุ่งมั่น ใส่ใจและมีวินัยทางการเรียนที่ดีจะทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จ ไปถึงฝันที่ตั้งใจไว้ ครูมีเทคนิคการเรียนที่เคยใช้และประสบผลสำเร็จกับตัวเองมาฝาก เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนที่สนใจ นำไปปฏิบัติ มาดูรายละเอียดกันครับ
วิธีไปให้ถึงฝัน
               มีใครอยากเป็น หมอ, วิศวกร, ทันตแพทย์, เภสัชกร บ้างครับ ?หลายคนคงมีคำตอบในใจว่า “อยากเป็น” “เป็นอาชีพในฝัน”เพราะอาชีพดังกล่าวนอกจากจะเป็นสาขาวิชาชีพฉพาะทางที่เป็นที่ต้องการของตลาดแล้ว ยังมีรายได้สูง มีหน้ามีตาในสังคม การันตีจบมาไม่มีตกงาน บางคนอาจคิดว่า  “ก็อยากเป็นอยู่หรอกแต่คงเป็นไปได้ยาก หัวไม่ดี เรียนไม่เก่ง ไกลเกินฝัน” แต่ในความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของครูแล้ว นักเรียน ม.ปลาย ทุกคนที่สามารถเรียนโปรแกรมวิทย์-คณิตได้ มีความเก่งพอที่จะเรียนต่อใน 4 อาชีพดังกล่าวได้ ถ้านักเรียนมีคุณสมบัติเพียง 2 ข้ออยู่ในตัว…
              ข้อแรก เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในใจของนักเรียนนั่นคือ “ความอยากเป็น” ถ้านักเรียน “อยากเป็น”ก็เท่ากับว่า ได้เป็นไปแล้วครึ่งตัว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นคุณสมบัติข้อที่สอง     “การปฏิบัติตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย” ซึ่งข้อหลังนี้เองที่ทำให้นักเรียน เพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น สามารถฝ่าด่าน 18 อรหันต์ทำความฝันให้เป็นจริงได้ แล้วทีนี้อยากทราบไหมครับว่า วิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นจะต้องทำอย่างไรบ้าง ลองฟังทางนี้ครับ…
             ไม่มี เด็กหัวดี มีพรสวรรค์ ความจำดี เก่งเกิดมาอัฉริยะ ไม่มีเด็กสอบติดคณะดี ๆ เพราะว่าได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง หรือต้องได้เรียนกวดวิชา ในสาระบบการเรียนที่ครูจะกล่าวต่อไป นักเรียนทุกคนไม่ว่าจะเรียนอยู่โรงเรียนไหนก็ตามล้วนมีต้นทุนการเรียนเท่ากัน กล่าวคือ มีระบบสมองและเผ่าพันธุ์เดียวกัน มีเวลาและโอกาสเท่ากัน แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้นักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันก็คือกลยุทธ์และวิธีการเรียน ที่ถูกต้อง นักเรียนที่เรียนเก่งจะรู้วิธีการเรียน ที่ถูกต้อง ส่วนนักเรียนที่(คิดว่า)เรียนไม่เก่ง จะไม่รู้ ลองดูข้อเปรียบเทียบคุณลักษณะและทรรศนคติเรื่องการเรียนของนักเรียนสองกลุ่มนี้ตามตาราง
ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะของนักเรียนสองกลุ่ม

                 นักเรียนคิดว่าตัวเองอยู่ในนักเรียนกลุ่มไหนครับ สำหรับนักเรียนที่คิดว่าเป็นกลุ่มที่สอง ให้ปรับทรรศนคติเรื่องการเรียนและการปฏิบัติตัวใหม่ตามข้อแนะนำ ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ครับ
กลยุทธ์และวิธีการเรียน ที่ถูกต้อง (The Smart Learning Program)
               ก่อนจะพูดถึงกลยุทธ์และวิธีการเรียน ขอกล่าวถึงปัจจัย 3 ประการที่ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนดีนั่นก็คือ 1.ตัวนักเรียนเอง 2. ครูที่สอน และ3. ผู้ปกครอง ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 คือตัวนักเรียนเองมีส่วนสำคัญที่สุด ส่วนครู และผู้ปกครอง เป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ และสนับสนุน การปฏิบัติอยู่ที่ตัวนักเรียนทั้งสิ้น อาจกล่าวได้ว่าหากความพร้อมของ ครูหรือโรงเรียน และผู้ปกครองมีน้อยหรือไม่มี ก็ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่จะทำให้นักเรียนไม่ประสบผลสำเร็จทางด้านการเรียน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่านักเรียนมีความมุ่งมั่นและเรียนอย่างถูกวิธีหรือไม่
            การเรียนที่ถูกวิธี และสัมฤทิ์ผล นั้นเกิดขึ้นได้ด้วยตัวนักเรียนเอง หากนักเรียนมีวินัยการเรียนที่ดีสามารถบริหารจัดการเวลาได้อย่างเหมาะสม การทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาในแต่ละวัน อย่างสม่ำเสมอ หมั่นฝึกทำโจทย์ข้อสอบ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จทางการเรียน ลองมาดูรายละเอียดกันครับ
วิธีปฎิบัติ
      - การเรียนปกติในโรงเรียน นักเรียนต้องตั้งใจเรียนในห้องเรียน จับประเด็นเนื้อหาสำคัญ มีตรงไหนไม่เข้าใจจดไว้ ถามครูที่สอนหลังเลิกเรียน หรือค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือคู่มือ การเรียนตามโปรแกรมแบ่งได้เป็น สามช่วงเวลาคือ
     - ช่วงแรก เวลาหลังเลิกเรียน ถึง 6 โมงเย็น
                  หลังเลิกเรียน รีบทำธุระส่วนตัวที่จำเป็นให้เสร็จ แล้วเริ่มทำการบ้านในวิชาที่ครูโรงเรียนสั่งวันนั้น แม้ยังไม่ถึงกำหนดส่งอีกหลายวันก็ควรจะทำให้เสร็จเพราะเรียนจบไปใหม่ๆ ยังเข้าใจเนื้อหาและจำได้ ทิ้งไว้นานจะลืมเป็นการสะสมงาน ไม่เป็นสิ่งดี วิธีการ คือถ้าสามารถทำได้ให้ลงมือทำเลย แต่หากยังไม่ค่อยเข้าใจ ให้อ่านทบทวนเนื้อหา อย่างช้า ๆ 1 รอบ ค่อย ๆ จับประเด็นพร้อมดูโจทย์ตัวอย่างประกอบกัน ถ้าพอเข้าใจแล้วเริ่มลงมือทำโดยฝึกทำจากโจทย์ตัวอย่างก่อนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ให้ดูเฉพาะโจทย์และใช้กระดาษเศษปิดส่วนเฉลย เขียนวิธีทำลงในกระดาษเศษ หากทำไปแล้วเกิดติดขัดส่วนไหน ให้แง้มดูได้แต่ไม่ควรลอกทั้งหมดไม่มีประโยชน์ ส่วนที่ติดขัดถ้ายังไม่เข้าใจให้จดไว้และถามครูที่โรงเรียน หรือถ้าไม่สะดวก ก็ให้ค้นคว้าจากหนังสือคู่มือ อย่าปล่อยให้ผ่านไป เพราะเนื้อหา ม.4 ถึง ม.6 จะต่อเนื่องกัน เมื่อทำโจทย์ตัวอย่างเสร็จ ก็เริ่มลงมือทำการบ้าน ถ้าไม่มีการบ้านให้ทำโจทย์แบบฝึกหัดท้ายบท เลือกข้อที่สามารถทำได้ ตามเนื้อหาที่เรียนมาก่อน ไม่ควรดูเฉลยคำตอบก่อนทำ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็พลิกดูได้และทำความเข้าใจว่าทำไมเป็นแบบนี้ คราวหลังจะได้ทำให้ถูกต้อง กิจกรรมช่วงแรกนี้นักเรียนสามารถทำที่โรงเรียน ตอนรอผู้ปกครอง หรือรอรถมารับกลับบ้านก็ได้ หรือถ้าไปถึงบ้านแล้วก็ทำที่บ้าน ทั้งนี้ต้องรักษาวินัยเรื่องเวลาเป็นหลัก
     - ช่วงที่สอง เวลา 6 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม
                 เป็นช่วงเวลาพักใหญ่ของนักเรียน นักเรียนจะมีเวลาพักสมอง และทำกิจกรรมกับครอบครัว ให้นักเรียนพักผ่อนตามสบาย ไม่ต้องนึก หรือคิดเรื่องการเรียน อาจเล่นกีฬา ฟังเพลง ดูข่าว คุยโทรศัพท์ กิจกรรมบางอย่างไม่แนะนำเช่น เล่นเกมส์ อินเตอร์เน็ต ใช้คอมฯ หรืออ่านหนังสือทุกประเภท เพราะทำให้สมองเครียดไม่มีเวลาพัก ให้อาบน้ำ กินข้าว ให้เสร็จในช่วงเวลานี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารหนักในเมื้อเย็น และไม่ควรกินมากจนเกินไป จะทำให้ง่วงในช่วงที่สาม ควรกินข้าวให้เสร็จก่อน 1 ทุ่มครึ่ง
ช่วงที่สาม เวลา 2 ทุ่ม ถึง 4 ทุ่มครึ่ง ฝึกที่บ้าน
                  เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนจะมีสมาธิกับการเรียนด้วยตัวเองได้ดีที่สุด ก่อนอื่นต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม นักเรียนควรมีโต๊ะ เก้าอี้ สำหรับอ่านหนังสือ 1 ชุด จัดไว้ในบริเวณที่เงียบ ปราศจากสิ่งรบกวนต่าง ๆ อาทิ ทีวี เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ เกมส์ หรืออินเตอร์เน็ต ให้นักเรียนเอาเนื้อหาวิชาที่เรียนในวันนั้นมาวางบนโต๊ะ เลือกความสำคัญก่อนหลัง เริ่มทบทวนเนื้อหาทีละวิชา ค่อย ๆ อ่านอย่างตั้งใจไปทีละประโยค และคิดตามไปอย่างช้า ๆ พยายามตั้งคำถามในใจเสมอว่าเพราะเหตุใด ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ได้ไหม มีเหตุผลใดสนับสนุน หลังจากจบเนื้อหาที่เรียนมาจากโรงเรียน ให้ลองทำโจทย์ฝึกหัดจากในหนังสือคู่มือ หรือชีต เลือกทำเฉพาะส่วนที่เรียนมาในวันนั้นสัก 4-5 ข้อ หรือมากกว่านั้นแล้วแต่เวลาที่มี ซึ่งนักเรียนต้องบริหารเอง จนได้ครบทุกวิชา ไม่ควรดูเฉลยคำตอบก่อนทำ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็พลิกดูได้และทำความเข้าใจว่าทำไมเป็นแบบนี้ คราวหลังจะได้ทำให้ถูกต้อง จากนั้นจัดตารางสอนของวันใหม่ แล้วพัก 5-10 นาทีจึงเริ่มอ่านล่วงหน้าเนื้อหาที่จะเรียนในวันรุ่งขึ้น เอาเฉพาะวิชาหลัก ๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ อ่านล่วงหน้าให้พอรู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ให้พอเข้าใจ แล้วเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่มครึ่ง แนะวิธีอ่านหนังสือไม่ควรอ่านยาวแบบต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก ควรพักสมอง 5 นาที หลังจากอ่านมาแล้ว 30 นาที หรือทุก ๆ ช่วงที่เปลี่ยนวิชาอ่าน
ถ้าอ่านด้วยตัวเองแล้วยังไม่เข้าใจ จะทำอย่างไรดี ?
                  นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ถนัดที่จะถามครูที่โรงเรียนหากไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนมา ทางออกที่ดีจะขอแนะนำก็คือ ให้ค้นคว้าหาคำตอบของเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ จากหนังสือคู่มือไม่ว่าจะเป็นเล่มที่แนะนำในเว็บนี้ หรือเล่มอื่น ๆ ที่เราอ่านเข้าใจง่าย ซึ่งครูมั่นใจว่าจะสามารถไขข้อข้องใจของนักเรียนได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบัน หนังสือคู่มือดี ๆ มีอยู่หลายเล่ม หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และเขียนโดยอาจารย์ ศาสตราจารย์เก่ง ๆ และมีประสบการณ์ระดับแนวหน้าของประเทศ มีเนื้อหาและโจทย์ฝึกน่าสนใจให้นักเรียนลองฝึกมากมายยิ่งกว่าที่นักเรียน จะได้จากโรงเรียนกวดวิชา หรือสอนพิเศษ ดั้งนั้นขอให้หมดข้อกังวลใจว่าจะไม่มีความรู้ไปสอบแข่งขัน ขออย่างเดียวมีเวลาพอที่จะศึกษาเพิ่มเติมไหม
ควรทำอะไรในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ดี ?
                  วันหยุด เสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาส่วนตัวของนักเรียน นักเรียนควรจัดการบริหารเวลาเอง ในช่วงไม่มีสอบให้ทำกิจกรรมตามสบาย อาจทำรายงาน ใครที่ขยันอาจฝึกทำโจทย์จากคู่มือ แต่ในช่วงมีสอบ นักเรียนควรใช้เวลาวันหยุดให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เอาเนื้อหาที่จะสอบมาทบทวน เน้นการฝึกทำโจทย์ให้เยอะ ๆ เข้าไว้ ขอย้ำว่า ฝึกทำคือลงมือทำเขียนลงในกระดาษ ไม่ใช่อ่านให้ผ่านตาเท่านั้น แม้นักเรียนจะเข้าใจจากการอ่าน ก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง เหมือนทำข้อสอบในห้องสอบ ทั้งนี้การเขียนจะช่วยประมวลความคิดให้เป็นระบบทำให้จำและเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น และไม่ประหม่าหรือเบลอเวลาเข้าสอบจริง ๆ แล้วเขียนไม่ออก เทคนิคนี้ใช้ได้กับทุกวิชาแม้แต่วิชาที่ต้องใช้ความจำเป็นหลัก
ข้อดี และผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการเรียนตามโปรแกรม
1.        การทบทวนเนื้อหาตำรา ฝึกทำโจทย์ และการบ้านด้วยตัวเอง ทำให้นักเรียนมีทักษะ และคิดเป็นซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเรียน นักเรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาในวิชาที่เรียนได้ดีขึ้น มีผลการเรียนที่ดีขึ้น มีความสุขและสนุกกับการเรียน มีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ทำได้
2.    การเรียนพิเศษ อาจไม่มีความจำเป็นถ้าหากนักเรียน สามารถเรียนตามโปรแกรมดังกล่าว หากจำเป็นต้องเรียนก็ขอให้ เลือกเรียนกับสถาบันที่ทุ่มเทการสอน โดยมุ่งเน้นผลสำเร็จของนักเรียน มากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง เลือกเรียนเฉพาะวิชาที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น นักเรียนจะได้มีเวลามานั่งทบทวนด้วยตัวเอง ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเรียนพิเศษตามเพื่อน ตามแฟชั่น ไม่มีเด็กคนใดที่ใช้วิธีเรียนพิเศษอย่างเดียวโดยไม่อ่านหนังสือเองจะประสบผลสำเร็จทางด้านการเรียน ข้อมูลนี้สามารถยืนยันได้จากนักเรียนรุ่นพี่ที่เคยผ่านช่วงเวลานี้มาแล้ว
ฝากทิ้งท้าย
- ครูทุกคนไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกเป่าอะไรก็ได้ ตัวนักเรียนต่างหากมีความวิเศษอยู่ในตัวเอง ดังนั้นให้งัดมันออกมใช้
- นักกีฬาอยากเป็นแชมป์ แม้มีโค้ชเก่งเพียงใด ถ้านักกีฬาไม่ลงมือฝึกซ้อม ก็ไม่มีวันได้สมหวัง
- นักดนตรีที่รู้เรื่องอ่านโน้ตจดจำวิธีการเล่นได้หมด แต่ไม่ลงมือฝึกซ้อมจะเล่นดนตรีเก่งได้อย่างไร
          - นักเรียนที่อยากเรียนดี เรียนเก่งมีอนาคตก้าวหน้าฉันใด ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง โอกาสบรรลุเป้า หมายย่อมเป็นไปได้ยาก
          The Smart Learning Program  เขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริง ของครู พิสูจน์และยืนยันว่าได้ผลจริงในทางปฏิบัติ ครูและเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอ วิศวกร ทันตแพทย์ เภสัชกร เรียนดีและประสบผลสำเร็จได้ ด้วยการศึกษาด้วยตัวเองโดยไม่ไปเสียเวลาพึ่งพาการเรียนพิเศษ  ครูไม่ได้หัวดี เก่ง อัจฉริยะมาแต่กำเนิด มีระบบสมองเหมือนพวกเราทุกคน แต่สิ่งหนึ่งที่ครู และเพื่อนนักเรียนเรียนเก่งแนวหน้ามีแตกต่างจากคนอื่น ๆ คือ มีวินัยการเรียนที่ดีเยี่ยม และสิ่งสำคัญที่เป็นพลังให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า นั่นคือเป้าหมายหรือความฝัน แล้วตัวนักเรียนละ มีเป้าหมายการเรียนเพื่ออะไร และฝันอยากเป็นอะไรในอนาคต...

ครูนายช่าง
Credit http://schooldd.ning.com/notes

สอบให้ได้คะแนนดี ต้องกินน้ำก่อนสอบ สมองจะทำงานได้คล่องว่องไว


นักวิจัยมหาวิทยาลัยเวสต์ ลอนดอนและเวสต์มินสเตอร์ของอังกฤษ พบสูตรว่า หากจะสอบให้ได้ ควรจะมีการให้น้ำกันด้วย
พวกเขาศึกษากับนักศึกษาวิชาจิตวิทยา 447 คน พบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำ กาแฟ หรือโคลา ก่อนเข้าห้องสอบ จะทำคะแนนได้สูงกว่าเพื่อนที่ไม่ได้ ปฏิบัติเช่นนั้นถึงร้อยละ 10 และสังเกตพบว่า นักศึกษาผู้ที่หิ้วน้ำเข้าไปสอบด้วยจำนวนร้อยละ 25 ก็สามารถทำคะแนนได้สูงกว่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 5 ด้วย
ดร.คริส พอสัน มหาวิทยาลัยอีสต์ ลอนดอน อธิบายสาเหตุว่า การดื่มน้ำอาจจะให้ผลทางใจ เมื่อเวลาใช้ความคิด นอกจากนั้นยังช่วยดับความกระวนกระวาย อันเป็นศัตรูของการทำสอบด้วย แต่ถึงจะอย่างไรก็ดี นักเรียนนักศึกษาควรจะระวังอย่าให้เกิดขาดน้ำขณะเข้าสอบเอาไว้
นักวิจัยผู้หนึ่งมีทฤษฎีของเหตุผลว่า การดื่มน้ำจะทำให้เซลล์สมองไม่ขาดน้ำ ช่วยการไหลของข้อมูลระหว่างกันเป็นไปอย่างราบรื่น ซ้ำมันยังช่วยให้ใจเย็นลง เพราะได้พบในการทดสอบว่า ผู้ที่หิวน้ำจะขาดสมาธิง่าย.

Credit http://www.thairath.co.th/content/edu/255056

No comments: